พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2540
เป็นปีที่ 13 ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมิ นทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า โปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยเงินตราจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อม ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำ และยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้ยกเลิก
- พระราชบัญญัติเงินตรา พุทธศักราช 2471
- พระราชบัญญัติเงินตราแก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2473
- พระราชบัญญัติเงินตราแก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2475
- พระราชบัญญัติเงินตรา (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2479
- พระราชบัญญัติเงินตรา (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2482
- พระราชบัญญัติเงินตรา (ฉบับที่ 6) พุทธศักราช 2483
- พระราชบัญญัติเงินตรา (ฉบับที่ 7) พุทธศักราช 2484
- พระราชบัญญัติเงินตรา (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2485
- พระราชบัญญัติเงินตรา (ฉบับที่ 9) พุทธศักราช 2485
- พระราชบัญญัติเงินตรา (ฉบับที่ 10) พุทธศักราช 2487
- พระราชบัญญัติเงินตรา (ฉบับที่ 11) พุทธศักราช 250
มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้
"กองทุนการเงิน" หมายความว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ตามข้อตกลงว่าด้วยกองทุนการเงินระหว่างประเทศซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิก
"ใบ สำคัญสิทธิซื้อส่วนสำรอง" หมายความว่า ใบสำคัญสิทธิซื้อส่วนสำรองที่ออกตามกฎหมายว่า ด้วยการให้อำนาจปฏิบัติการเกี่ยวกับกองทุนการเงินและธนาคารระหว่างประเทศ "ซื้อหรือขายทันที" หมายความว่า ซื้อหรือขายโดยโอนตามคำสั่งทางโทรเลข
"หลักทรัพย์ต่างประเทศ" หมายความว่า
- หลักทรัพย์ของรัฐบาลต่างประเทศหรือของสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นสมาชิก
- หลักทรัพย์ที่รัฐบาลต่างประเทศหรือของสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่ ประเทศไทยเป็นสมาชิกค้ำประกัน การชำระหนี้ตามหลักทรัพย์นั้น
- ตราสารที่สถาบันการเงินระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกออกให้เป็นหลัก ฐานว่าผู้ถือตราสารได้มีส่วนร่วมกับสถาบันการเงินระหว่าง ประเทศที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกในการให้กู้ยืมเงิน แก่รัฐบาลสมาชิก หรือองค์การของรัฐบาล สมาชิกของสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกตามจำนวนดังระบุ ไว้ในตราสารนั้น
"อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด" หมายความว่า ความยิ่งหย่อนแห่งน้ำหนัก และเนื้อโลหะของเหรียญกษาปณ์ จากอัตราที่กำหนด
"เงิน ตราที่พึงเปลี่ยนได้" หมายความว่า เงินตราของประเทศ ที่รับปฏิบัติแล้วตามพันธะที่ตั้งไว้ตามหมวด 8 แห่ง ข้อตกลงว่าด้วยการเงินระหว่างประเทศ
"ใบสำคัญสิทธิพิเศษถอนเงิน" หมายความว่า ใบสำคัญสิทธิพิเศษถอนเงินที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการให้อำนาจและกำหนดการ ปฏิบัติบางประการเกี่ยวกับสิทธิพิเศษในกองทุนการเงิน ระหว่างประเทศ
"พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่าผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
"รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้และให้มีอำนาจ ออกกฏกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด 1 เงินตรา และหน่วยของเงินตรา
มาตรา 6 เงินตราได้แก่เหรียญกษาปณ์และธนบัตร
มาตรา 7 หน่วยของเงินตราเรียกว่า "บาท" หนึ่งบาทแบ่งเป็นหนึ่งร้อยสตางค์ คำว่า "บาท" นั้นจะใช้เครื่องหมาย "บ." แทนก็ได้
มาตรา 8 ค่าเสมอภาคของบาทได้แก่ค่าของบาทที่กำหนดโดยเทียบกับหน่วยสิทธิพิเศษถอน เงิน หรือเทียบกับเงินตราสกุลอื่น หรือเทียบกับค่าที่คำนวณได้จากเงินตราสกุลอื่นหลายสกุลรวมกัน หรือเทียบหน่วยเทียบ อื่นที่กองทุนการเงินกำหนดขึ้น การกำหนดค่าเสมอภาคของบาท ดังกล่าว ให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกาในกรณีที่มีการกำหนดเสมอภาคของบาทตามวรรคตอนหนึ่ง เมื่อมีเหตุสมควร รัฐมนตรีอาจประกาศให้ระงับใช้ค่าเสมอภาคของบาทชั่วคราวเป็นเวลาไม่เกิน 90 วัน โดยจะประกาศให้ใช้ระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราระบบใดตามที่เห็นสมควรในระหว่าง นั้นด้วยหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้โดยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยในกรณีที่ไม่มีการกำหนดค่าเสมอภาค ของบาทตามวรรคหนึ่ง รัฐมนตรีอาจประกาศให้ใช้ระบบแลกเปลี่ยนเงินตราระบบใดได้ตามที่เห็นสมควรโดย คำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย
มาตรา 9 ห้ามมิให้ผู้ใด ทำ จำหน่าย ใช้ หรือนำออกใช้ซึ่งวัตถุหรือเครื่องหมายใด ๆ แทนเงินตราเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
มาตรา 10 ให้กระทรวงการคลังจัดทำและนำออกใช้ซึ่งเหรียญกษาปณ์ เหรียญกษาปณ์ตามวรรคหนึ่ง แต่ละชนิดราคาที่นำออกใช้ ให้มีได้เพียงขนาดเดียว และจะมีขนาดเท่ากับเหรียญกษาปณ์ชนิด ราคา อื่นไม่ได้เว้นแต่กรณีการจัดทำและนำออกใช้เป็นเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกหรือ เหรียญกษาปณ์ที่ใช้แทนเหรียญกษาปณ์ที่ถอนคืนชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนักขนาด ลวดลาย และลักษณะอื่นๆ (ถ้ามี) ของเหรียญกษาปณ์รวมทั้งอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดให้กำหนดโดยกฎกระทรวง
มาตรา 11 เหรียญกษาปณ์เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฏหมายไม่เกินจำนวนที่กำหนดโดยกฎกระทรวง
มาตรา 12 เหรียญกษาปณ์ชำรุดไม่เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เหรียญกษาปณ์ต่อไปนี้เป็นเหรียญกษาปณ์ชำรุด
- เหรียญกษาปณ์ที่ถูกตัด หรือถูกตอก หรือถูกตี หรือกระทำด้วยประการใดๆ ให้บุบสลาย หรือชำรุดจนเสียรูปหรือลวดลายลบเลือน หรือเปลี่ยนแปลงในดุลภาคหรือบิดงอ หรือทำให้น้ำหนักลดลงไม่ว่าโดยเหตุใดในลักษณะที่ปรากฏโดยชัดเจน
- เหรียญกษาปณ์ที่สึกหรอไปตามธรรมดาจนมีน้ำหนักลดลงเกินกว่าสองเท่าครึ่งของอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด
มาตรา 13 ให้กระทรวงการคลังรับแลกเปลี่ยนเหรียญกษาปณ์ชำรุดตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
- เหรียญกษาปณ์ที่ชำรุดที่จะรับแลกเปลี่ยนได้ ต้องเป็นเหรียญกษาปณ์ที่มิใช่เหรียญกษาปณ์ทองคำ เหรียญกษาปณ์เงิน หรือเหรียญกษาปณ์ขัดเงา
- เหรียญกษาปณ์ที่ชำรุดตาม มาตรา 12 วรรคสอง (1) ให้รับแลกเปลี่ยนได้ครึ่งราคาของเหรียญกษาปณ์นั้น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
- เหรียญกษาปณ์ที่ชำรุดตามมาตรา 12 วรรคสอง (2) ให้รับแลกเปลี่ยนได้เต็มราคาของเหรียญกษาปณ์นั้นพนักงานเจ้าหน้าที่และสถาน ที่รับแลกเปลี่ยนเหรียญกษาปณ์ชำรุดตามวรรคหนึ่ง (2) และ (3) ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 13 ทวิ เมื่อเห็นสมควรรัฐมนตรีมีอำนาจถอนคืนเหรียญกษาปณ์ที่ออกใช้ ชนิด และราคาใด ๆ โดยให้นำมาแลกเปลี่ยนกับธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์อื่นได้การคืนเหรียญกษาปณ์ ตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งอย่างน้อยต้องมีข้อกำหนด ดังต่อไปนี้
- ชนิด ราคา และลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ถอนคืน
- ระยะเวลาให้นำเหรียญกษาปณ์ที่ถอนคืนมาแลกเปลี่ยนกับธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์ อื่นต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงใช้บังคับ
- พนักงานเจ้าหน้าที่และสถานที่รับเหรียญกษาปณ์ที่ถอนคืนเหรียญกษาปณ์ที่นำมา แลกเปลี่ยน ถ้าเป็นเหรียญกษาปณ์ชำรุดตามมาตรา 12 วรรคสองให้รับแลกเปลี่ยนตาม มาตรา 13
มาตรา 13 ตรี เหรียญกษาปณ์ที่ได้รับจากการถอนคืนตามมาตรา 13 ทวิ วรรคสอง (2) รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้กรมธนารักษ์นำไปยุบหลอมหรือทำลายเพื่อนำไปใช้ ประโยชน์อย่างอื่น หรือจำหน่ายต่อไปได้ หรือสั่งให้กรมธนารักษ์จัดการจำหน่ายโดยให้ผู้ซื้อต้องนำไปยุบหลอม หรือทำลายตามเงื่อนไขที่อธิบดีกรมธนารักษ์กำหนด และต้องยุบหลอมหรือทำลายภายใต้การ ควบคุมและตรวจสอบของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่รัฐมนตรีกำหนดเมื่อพ้นกำหนดระยะ เวลาให้แลกเปลี่ยนเหรียญกษาปณ์ที่ถอนคืนตามที่กำหนดในกฎกระทรวงตามมาตรา 13 ทวิ วรรคสอง (2) บรรดาเหรียญกษาปณ์ที่ถอนคืนไม่เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเหรียญกษาปณ์ ที่ชำระหนี้ไม่ได้ตามกฎหมาย เพราะพ้นกำหนดระยะเวลาการถอนคืน ถ้าผู้ใดนำเหรียญกษาปณ์มาขอแลกเปลี่ยนกับธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์อื่นโดยแสดง เหตุผลและความจำเป็นให้กระทรวงการคลังรับแลกเปลี่ยนกับธนบัตรหรือเหรียญ กษาปณ์อื่นโดยแสดงเหตุผล และความจำเป็นให้กระทรวงการคลังรับแลกเปลี่ยนไปตามมาตรา 13 ทวิ ได้ตลอดไป
มาตรา 14 ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจจัดทำ จัดการ และนำออกใช้ซึ่งธนบัตรของรัฐบาลตามกฏหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ต่อ ไปให้รัฐมนตรีประกาศ ชนิด ราคา สี ขนาด และลักษณะอื่น ๆ ของธนบัตรที่จะออกใช้ในราชกิจจานุเบกษาเว้นแต่กรณีที่จะนำออกใช้ซึ่งธนบัตร ถอนคืน
มาตรา 15 ธนบัตรเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายโดยไม่จำกัดจำนวน
มาตรา 16 ห้ามมิให้นำออกใช้ซึ่งธนบัตร เว้นแต่เป็นการแลกเปลี่ยนทันทีกับ
- ธนบัตรที่นำออกใช้ไปก่อนแล้ว ซึ่งถอนคืนจากธนบัตรออกใช้หรือ
- สินทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีค่าเท่ากัน และระบุไว้ในมาตรา 30 ซึ่งจะต้องรับขึ้นบัญชีทุนสำรองเงินตราที่รักษาไว้ตามมาตรา 26
- ธนบัตรได้ชื่อว่าออกใช้นับแต่เวลาที่นำออกใช้และก่อนถอนคืน
มาตรา 17 ธนบัตรที่ถอนคืนจากธนบัตรออกใช้จะเลิกใช้และทำลายเสีย หรือจะเก็บไว้ และนำออกใช้อีกก็ได้
มาตรา 18 ธนบัตรชำรุดไม่เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ธนบัตรต่อไปนี้เป็นธนบัตรชำรุด
- ธนบัตรครึ่งฉบับคือ ครึ่งหนึ่งของธนบัตร ซึ่งได้ถูกแยกตรงกลางหรือใกล้เคียงกับกลางเป็นสองส่วนตามยืน
- ธนบัตรต่อท่อนผิดคือ ธนบัตรซึ่งมีส่วนหนึ่งขาดหายหรือมีเหตุที่ทำให้อ่านข้อความหรือตัวเลขไม่ได้ความ
มาตรา 19 ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับแลกเปลี่ยนธนบัตรชำรุดตามข้อจำกัดหลักเณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 20 เมื่อ เห็นสมควร รัฐมนตรีมีอำนาจถอนคืนธนบัตรออกใช้ชนิดและราคาใด ๆ โดยให้นำมาแลกเปลี่ยนกับธนบัตรอื่นได้ การถอนคืนธนบัตรออกใช้ ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาในประกาศถอนคืนธนบัตรออกใช้อย่างน้อยต้องมี ข้อความดังต่อไปนี้
- ชนิดและราคาของธนบัตรที่ถอนคืน
- ระยะเวลาให้นำส่งธนบัตรที่ถอนคืนซึ่งต้องกำหนดไม่น้อยกว่าหนึ่งปี นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
- พนักงานเจ้าหน้าที่และสถานที่รับธนบัตรที่ถอนคืน
มาตรา 21 เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่ได้กำหนดให้นำส่งธนบัตรที่ถอนคืนตามความในมาตรา 20 บรรดาธนบัตรที่รัฐมนตรีประกาศถอนคืนไม่เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฏหมายแต่ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับแลกเปลี่ยนกับธนบัตรอื่นได้ภายในสองปี นับแต่วันที่ธนบัตรถอนคืนตกเป็นเงินที่ชำระหนี้ไม่ได้ตามกฎหมาย
มาตรา 22 บรรดาธนบัตรที่ตกเป็นเงินที่ชำระหนี้ไม่ได้ตามกฎหมาย ตามความในมาตรา 21ซึ่งมิได้นำมาแลกเปลี่ยนกับธนบัตรอื่นภายในเวลาที่กำหนดให้นำมาแลกเปลี่ยน ได้ ให้ถือว่าเป็นธนบัตรที่ถอนคืนแล้ว จากธนบัตรออกใช้และจะโอนสินทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งที่มีค่าเท่ากันซึ่งถือ ไว้เป็นทุนสำรองเงินตราตามมาตรา 26 ให้เป็นรายได้ของแผ่นดินก็ได้
หมวด 2 การดำรงไว้ซึ่งค่าของบาท
มาตรา 23 เพื่อประโยชน์ในการดำรงไว้ซึ่งค่าของบาท ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราซื้อหรือขาย ทันทีซึ่งเงินตราต่างประเทศที่กำหนด โดยกฏกระทรวงตามที่ธนาคารพาณิชย์ในราชอาณาจักรจะเรียกให้ซื้อหรือขายแต่การ ซื้อหรือขายคราวหนึ่ง ๆ ต้องไม่ต่ำกว่าจำนวนซึ่งรัฐมนตรีกำหนดเงินตราต่างประเทศที่กำหนดโดยกฎ กระทรวงนั้นต้องเป็นเงินตราที่ประกอบขึ้นเป็นทุนสำรองเงินตราได้ ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราไม่จำต้องซื้อ หรือขายทันทีตามวรรคหนึ่งในขณะที่ยังกฏหมายว่าด้วยการจำกัดการซื้อขายเงิน ปริวรรคต่างประเทศใช้บังคับอยู่
มาตรา 24 การซื้อหรือขายเงิน ตราต่างประเทศระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย หรือทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรากับธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา 23 นั้น อัตราซื้อหรือขายทันทีจะต่างจากอัตราแลกเปลี่ยนตามค่าเสมอภาคของบาทได้ไม่ สูงกว่าอัตราขั้นสูงและไม่ต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา 25 รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจประกาศกำหนดอัตราขั้นสูง และอัตราขั้นต่ำสำหรับการซื้อหรือขายทันที ซึ่งเงินตราต่างประเทศโดยธนาคารพาณิชย์หรือบุคคลอื่นได้ และเมื่อมีประกาศของรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว ธนาคารพาณิชย์หรือบุคคลอื่น ที่ซื้อหรือขายทันทีซึ่งเงินตราต่างประเทศต้องซื้อหรือขายในอัตราที่ไม่สูง หรือต่ำกว่าอัตราที่กำหนดนั้นห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์หรือบุคคลอื่นรับเงิน ส่วนลด หรือเรียกเก็บเงินไม่ว่าประเภทใดเนื่องในการซื้อหรือขายทันทีซึ่งเงินตรา ต่างประเทศนอกจากค่าโทรเลข ทั้งนี้ไม่ว่าจะมีประกาศตามวรรคหนึ่งหรือไม่
หมวด 3 ทุนสำรองเงินตรา
มาตรา 26 เพื่อดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพของเงินตรา ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรักษาทุนสำรองเงินตราไว้กองหนึ่งเรียกว่า "ทุนสำรองเงินตรา"
มาตรา 27 บรรดา สินทรัพย์ที่มีอยู่ในทุนสำรองเงินตรา ซึ่งมีอยู่ก่อนและในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้เป็นทุนสำรองเงินตรา ตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 28 ทุนสำรองเงินตรานั้น ให้กันไว้เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากสินทรัพย์นั้นๆ บรรดาที่เป็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
มาตรา 29 ภายใต้บังคับมาตรา ๒๒ และมาตรา ๓๔ ห้ามมิให้จ่ายทุนสำรองเงินตรา เว้นแต่
- ในขณะเดียวกันนั้นจะได้ถอนธนบัตรเป็นจำนวนเท่ากันคืนจากธนบัตรออกใช้ หรือ
- ในขณะเดียวกันนั้นจะได้รับสินทรัพย์อย่างอื่นตามมาตรา 30 มีค่าเท่ากันขึ้นบัญชีเป็นทุนสำรองเงินตราการจ่ายทุนสำรองเงินตราดังกล่าวจะ
- กระทำได้ต่อเมื่อได้มีคำสั่งของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือผู้แทนซึ่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
มาตรา 30 ให้สินทรัพย์ต่อไปนี้เป็นสิ่งอันชอบด้วยกฎหมายที่จะประกอบขึ้นเป็นทุนสำรองเงินตรา
- ทองคำ
- เงินตราต่างประเทศอันเป็นเงินตราที่พึงเปลี่ยนได้ หรือเงินตราต่างประเทศอื่นใดที่กำหนดโดยกฏกระทรวง
- ทั้งนี้ต้องเป็นรูปเงินฝากในธนาคารนอกราชอาณาจักรหรือในสถาบันการเงิน ระหว่างประเทศ
- หลักทรัพย์ต่างประเทศที่จะมีการชำระหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศที่ระบุไว้ใน (2)
- ทองคำ สินทรัพย์ต่างประเทศ และสิทธิพิเศษถอนเงิน ทั้งนี้ที่นำส่งสมทบกองทุนการเงิน
- ใบสำคัญสิทธิซื้อส่วนสำรอง
- ในสำคัญสิทธิพิเศษถอนเงิน
- หลักทรัพย์รัฐบาลไทยที่จะมีการชำระหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศที่ระบุไว้ใน (2) หรือเป็นบาท
ตั๋วเงินในประเทศที่ธนาคารแห่งประเทศไทยพึงซื้อหรือรับช่วงซื้อลดได้ แต่ต้องมีค่ารวมกันไม่เกินร้อยละยี่สิบของจำนวนธนบัตรออกใช้สินทรัพย์ตาม (1) (2) (3) (4) (5) และ (6) นั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องจัดดำรงไว้ให้มีค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่าร้อย ละหกสิบของจำนวนธนบัตรออกใช้
มาตรา 31 การคำนวณค่าแห่งสินทรัพย์ที่เป็นหรือจะรับเข้าเป็นทุนสำรองเงินตรานั้น ให้คำนวณดังต่อไปนี้
- ในกรณีที่เป็นหลักทรัพย์รัฐบาลไทยที่มีราคาเป็นบาทหรือตั๋วเงินในประเทศให้ คำนวณตามราคาที่ซื้อหรือรับช่วงซื้อลดไว้ หรือที่ตราไว้ แล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า
- ในกรณีที่เป็นสินทรัพย์ที่มีราคาหรือมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศ หรือสิทธิพิเศษถอนเงินให้คำนวณตามราคาหรือจำนวน ดังนี้
(ก) ทองคำและหลักทรัพย์ต่างประเทศ ให้คำนวณตามราคาในตลาดต่างประเทศเมื่อสิ้นปีแต่ละปีหรือถ้าเป็นทองคำหรือ หลักทรัพย์ต่างประเทศที่ซื้อในระหว่างปีใด ให้คำนวณตามราคาที่ซื้อจนถึงเวลาตีราคาเมื่อสิ้นปีที่ซื้อนั้น
(ข) ทองคำ สินทรัพย์ต่างประเทศ และสิทธิพิเศษถอนเงิน ที่นำส่งสมทบกองทุน การเงินตามความในมาตรา 30 (4) ให้คำนวณตามจำนวนหน่วยสิทธิพิเศษถอนเงินที่กองทุนแจ้งไว้ครั้งหลังสุด
(ค) ในสำคัญสิทธิซื้อส่วนสำรองและใบสำคัญสิทธิพิเศษถอนเงิน ให้คำนวณตามจำนวนหน่วยพิเศษถอนเงินที่ตราไว้
(ง) เงินตราต่างประเทศ ให้คำนวณตามจำนวนเงินฝากในขณะนั้น
(จ) หลักทรัพย์รัฐบาลไทย ให้คำนวณตามราคาเป็นเงินตราต่างประเทศที่ซื้อหรือรับช่วงซื้อลด หรือที่ตราไว้ แล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่าการคำนวณสินทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง (2) เป็นบาท ให้คำนวณดังต่อไปนี้
- ในกรณีที่ไม่มีการกำหนดค่าเสมอภาคของบาท หรือค่าเสมอภาคของบาทถูกระงับใช้ให้คำนวณเป็นบาทตามอัตรากลางระหว่างอัตรา ซื้อและอัตราขายทันทีซึ่งเงินตราต่างประเทศสกุลที่เกี่ยวข้องโดยใช้อัตราใน ตลาดในวันสิ้นปี หรือในกรณีที่เป็นสินทรัพย์ที่ซื้อในระหว่าง ปีให้ใช้อัตราที่ใช้ในการตีราคาเมื่อสิ้นปีก่อน
- ในกรณีที่มีการกำหนดค่าเสมอภาคของบาท ให้คำนวณโดยแปลงราคาหรือจำนวนสินทรัพย์นั้นเป็นเงินตราต่างประเทศสกุลอื่น ที่อาจคำนวณกลับเป็นหน่วยเทียบของบาทได้ โดยใช้อัตรากลาง กรณีที่เป็นสินทรัพย์ที่ซื้อในระหว่างปี ให้ใช้อัตราที่ใช้ในการตีราคาเมื่อสิ้นปีก่อนแล้วให้คำนวณเป็นบาทตาม ค่าเสมอภาค
- ในกรณีที่มีการกำหนดค่าเสมอภาคของบาทโดยเทียบกับหน่วยเทียบที่กองทุนการเงิน กำหนดและเงินตราต่างประเทศสกุลที่เกี่ยวข้องนั้นมีค่าเสมอภาคโดยเทียบกับ หน่วยเทียบที่กองทุนการเงิน กำหนดเช่นกัน ให้คำนวณเป็นบาทตามอัตราแลกเปลี่ยนตามค่าเสมอภาค
มาตรา 32 ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตีราคาสินทรัพย์ที่เป็นทุนสำรองเงินตราทุกๆ ปี ไม่ช้ากว่าหกสิบวันนับแต่วันขึ้นปีใหม่
มาตรา 33 ผล ประโยชน์อันเกิดจากสินทรัพย์ในบัญชีทุนสำรองเงินตราแต่ละปี ให้รับขึ้นบัญชีผลประโยชน์ประจำปีสินทรัพย์ในบัญชีผลประโยชน์ประจำปี ให้ใช้จ่ายได้เพื่อการดังต่อไปนี้
- การพิมพ์ธนบัตร รวมตลอดถึงการใดๆ เกี่ยวกับการจัดตั้งโรงพิมพ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อพิมพ์ธนบัตรและสิ่ง พิมพ์อื่นที่รัฐมนตรีเห็นชอบ และการตั้งเป็นทุนหมุนเวียนตามความจำเป็นเพื่อดำเนินกิจการโรงพิมพ์ดังกล่าว
- การออกและจัดการธนบัตร หรือการอื่นใดอันเกี่ยวกับกิจการธนบัตรซึ่งรัฐมนตรีอนุมัติ
- การชดใช้ค่าแห่งสินทรัพย์ ในบัญชีทุนสำรองเงินตราที่ลดลง
- การจัดการเกี่ยวกับสินทรัพย์ในบัญชีทุนสำรองเงินตรา บัญชีผลประโยชน์ประจำปี และบัญชีสำรองพิเศษเงินคงเหลือหลังจากการจ่ายตามวรรคสองเมื่อสิ้นปี ให้โอนเข้าบัญชีสำรองพิเศษผลประโยชน์อันเกิดจากสินทรัพย์ในบัญชีผลประโยชน์ ประจำปีหรือบัญชีสำรองพิเศษให้รับขึ้นบัญชีผลประโยชน์ประจำปีถ้าสินทรัพย์ใน บัญชีผลประโยชน์ประจำปีในปีใดมีจำนวนไม่พอแก่การจ่ายดังกล่าวให้จ่ายจาก บัญชีสำรองพิเศษเท่าจำนวนที่ขาด และถ้าสินทรัพย์ในบัญชีสำรองพิเศษมีไม่พอจ่าย ให้จ่ายจากเงินคงคลังเท่าจำนวนที่ขาด ในปีต่อๆไป ถ้าสินทรัพย์ในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีมีเหลือจากการจ่ายดังกล่าว ให้ใช้คืนเงินคงคลังจนครบจำนวนที่ได้จ่ายไป และเมื่อเหลือเท่าใดจึงให้โอนเข้าบัญชีสำรองพิเศษไว้
มาตรา 34 ในกรณีที่สินทรัพย์ในบัญชีทุนสำรองเงินตรามีค่าเพิ่มขึ้น ให้โอนส่วนที่เพิ่มขึ้นนั้นเข้าบัญชีสำรองพิเศษ
หมวด 4 บทกำหนดโทษ
มาตรา 35 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 36 ธนาคารพาณิชย์หรือผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 25 วรรคหนึ่ง หรือฝ่าฝืนมาตรา 25 วรรค สอง ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท ความผิดตามมาตรานี้ ให้คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้คณะกรรมการที่ รัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคสอง ให้มีจำนวนสามคนซึ่งคนหนึ่งต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฏหมายวิธี พิจารณาความอาญา